Search Engine คืออะไร ?
ไหน ๆ ๆ ใครใช้ Google ค้นหาข้อมูลบ้างคะ ?
เจ้า Google นี่แหละค่ะ คือ Search Engine เครื่องมือค้นหาข้อมูลที่คนทั่วโลกนิยมใช้ ครอบคลุมการค้นหาหลายรูปแบบทั้งข้อมูล ภาพ วิดีโอ แถมยังมีการพัฒนา Search Engine อยู่เสมอ เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้งาน
แต่นอกจาก Google แล้ว ยังมีเว็บไซต์ Search Engine อื่น ๆ ที่สามารถใช้ค้นหาข้อมูลได้อีกนะคะ ในบทความนี้ Opkung จะสรุปให้เข้าใจมากขึ้น ว่าความหมายของ Search Engine คืออะไร ? มีหลักการทำงานอย่างไร ? แบ่งเป็นกี่แบบ ? พร้อมยกตัวอย่างโปรแกรม Search Engine ที่ฮอตฮิตติดลมบนค่ะ
หลักการทำงานของ Search Engine เป็นอย่างไร ?
แต่ละผู้ให้บริการ Search Engine มีระบบการทำงานแตกต่างกันค่ะ
โดยทางเราขอสรุปหลักการทำงาน Search Engine ‘Google’ คร่าว ๆ ให้เห็นภาพง่าย ๆ แทนนะคะ เพราะเป็นเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
5 ขั้นตอนการทำงานของ Search Engine มีดังนี้
- การค้นพบลิงก์เว็บไซต์ (Discover URLs)
- การเก็บข้อมูลเว็บไซต์ (Crawling)
- การประมวลผล (Processing and rendering)
- การทำดัชนี (Indexing)
- การจัดอันดับเว็บไซต์ (Ranking)
1.การค้นพบลิงก์เว็บไซต์ (Discover URLs)
การค้นพบ URLs ต่าง ๆ ถือเป็นจุดเริ่มต้นขั้นตอนการทำงานของ Search Engine ค่ะ
อย่าง Google เอง ก็มีวิธีการค้นพบ URLs เว็บไซต์หลากหลายวิธี โดยวิธีที่ทาง Opkung มองว่าง่าย ที่จะทำให้ Google ค้นพบเว็บไซต์เราไวขึ้น มี 4 วิธี ดังนี้
- ส่ง Sitemap หรือ แผนผังเว็บไซต์ ผ่าน Google Search Console
- Backlink ที่ทำลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ส่งกลับมายังเว็บไซต์ของเรา
- URL submissions เรียกให้ Google มาเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์เรา ผ่าน Google Search Console
- Internal Link การเชื่อมโยงเว็บหน้าต่าง ๆ ภายในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกัน
2.การเก็บข้อมูลเว็บไซต์ (Crawling)
Search Engine แต่ละตัว จะมีบอท (Bot) สำหรับเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ต่าง ๆ ค่ะ (อย่าง Google เราจะเรียกกันว่า “Google Bot”) ซึ่ง Bot จะไต่ในเว็บและดึงข้อมูลทุกอย่างในเว็บ เช่น รูปภาพ, URL, Title, Description, Video ฯลฯ มาเก็บอัปเดตไว้ในฐานข้อมูลกลางค่ะ
3.การประมวลผล (Processing and rendering)
ขั้นตอนการประมวลผล หรือ Processing ของ Search Engine จะเป็นการทำความเข้าใจข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาค่ะ จากนั้นจะทำการจัดเก็บเนื้อหา และแยกลิงก์ เพื่อให้พร้อมสำหรับขั้นตอนการทำดัชนี ซี่งเป็นขั้นตอนถัดไป
4.การทำดัชนี (Indexing)
การทำดัชนี หรือ Indexing เป็นการแยกข้อมูลอันมหาศาลที่ผ่านการรวบรวมและประมวลผลมาแล้วค่ะ โดยจะมีการจัดเรียง แยกประเภท เรียบเรียงข้อมูล และจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลแต่ละประเภท
เช่น บทความนี้เขียนเกี่ยวกับเรื่อง Search Engine คืออะไร ? เมื่อถึงขั้นตอนการดัชนี บทความนี้จะไปอยู่ในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับ Search Engine ค่ะ
ในขั้นตอนนี้จะให้ความรู้สึกเหมือนกับห้องสมุดขนาดใหญ่
- URL เว็บไซต์ = หนังสือ
- การทำดัชนี = การแยกประเภท / หมวดหมู่
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุก URL จะผ่านการทำดัชนีนะคะ อย่าง Google เองก็มีแนวทางการวิเคราะห์ และประมวลผลด้วยเช่นกัน หากเว็บไซต์สอบไม่ผ่านเงื่อนไข เช่น ผลิต Content ออกมาไม่มีคุณภาพ ไม่น่าเชื่อถือตามแนวทาง EEAT ฯลฯ ก็จะไม่มีโอกาสติด Index ค่ะ
ปล. คลิกดูแนวทางการทำหน้าเว็บให้ติด Index ตามแนวทาง EEAT ได้ที่นี่
5.การจัดอันดับเว็บไซต์ (Ranking)
การจัดอันดับเว็บไซต์ หรือ Ranking คือ การจัดอันดับเว็บไซต์ให้ตรงตามคีย์เวิร์ด หรือ คำค้นหา ที่ User พิมพ์ค้นหาผ่านโปรแกรม Search Engine มาค่ะ เช่น พิมพ์คำว่า “แก้วเบียร์” ผลลัพธ์ที่แสดงบนหน้า SERP ก็จะแสดงผลลัพธ์เกี่ยวกับแก้วเบียร์ค่ะ
โดยจะครอบคลุมการแสดงผลหลายแบบ เช่น เว็บไซต์ ภาพ และวิดีโอ ฯลฯ
Search Engine มีกี่ประเภท อะไรบ้าง ?
Search Engine สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1.Crawler-Based Search Engine
Crawler-Based เป็นประเภท Search Engine ที่ได้รับความนิยมมากสุดค่ะ แถมพวกเราก็ใช้กันบ่อย ตัวอย่าง Search Engine ประเภทนี้ เช่น Google, Bing, Yahoo, Baidu ฯลฯ
โดยจะมีการส่ง Bot ไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาทำดัชนี และจัดอันดับการค้นหา ให้ตรงกับความต้องการของ Use ที่พิมพ์คีย์เวิร์ดค้นหาข้อมูลค่ะ
2.Privacy-Based Search Engine
Privacy-Based เป็นประเภท Search Engine ที่พัฒนามาเพื่อผู้ใช้งาน ที่กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวในขณะค้นหาข้อมูลค่ะ โดยจะมีไม่มีการเก็บข้อมูลประวัติการท่องเว็บไซต์ ประวัติการค้นหา หรือข้อมูลส่วนตัวใด ๆ ตัวอย่าง Search Engine ประเภทนี้ เช่น DuckDuckGo, Startpage, Swisscows ฯลฯ
3.Social-Based Search Engine
การค้นหาข้อมูลบน Social Media เช่น TikTok, Facebook, Youtube ฯลฯ ถือว่าเป็นการค้นหาผ่าน Search Engine เช่นกันค่ะ เพราะช่วยให้ผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลที่อยู่ในเทรนด์ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ได้รวดเร็ว มีความเรียลไทม์ตามกระแสมากกว่า
4. AI-Powered Search Engine
AI-Powered Search Engine เป็นการค้นหาข้อมูลผ่านผู้ให้บริการ AI เจ้าต่าง ๆ ที่เรารู้จักกัน เช่น SearchGPT และ Perplexity
โดยหลังจากค้นหาข้อมูล ตัว AI จะนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ ให้เรา พร้อมกับแนบลิงก์อ้างอิงข้อมูล ว่าข้อมูลเหล่านี้ที่ถูก Generate มา ได้นำข้อมูลจากเว็บไหนมาใช้บ้าง ทำให้เราสามารถ Recheck ข้อมูลได้ง่ายขึ้นค่ะ ว่าถูกต้อง เชื่อถือได้ มาก-น้อยแค่ไหน
นอกจากนี้ยังแสดงผลการค้นหาเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ คล้ายกับการค้นหาบน Google เลยค่ะ
Search Engine จัดอันดับการค้นหาอย่างไร ?
เอาจริง ๆ ขั้นตอนนี้ไม่มีใครทราบอย่างแน่ชัดค่ะ (ยกเว้นคนทำระบบ) ว่า Search Engine แต่ละเจ้ามีเงื่อนไขการจัดอันดับ หรือ Ranking เว็บไซต์อย่างไร
โดยการจัดอันดับเว็บไซต์ว่า URL ใดควรอยู่อันดับไหน ประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายอย่างค่ะ ส่วนนึงที่นักทำ SEO หลายคนคาดการณ์ว่ามีผลต่อการ Ranking บน Google ตัวอย่างเช่น
- คุณภาพของเนื้อหาในเว็บไซต์
- การปรับ On-Page ในเว็บไซต์
- อัตราการคลิก (CTR)
- ระยะเวลาที่คนอยู่ในเว็บไซต์ / การมีส่วนร่วม
- ความเร็วเว็บไซต์ (Speed Website)
- ความน่าเชื่อถือของโดเมน (Domain Authority)
- ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่นำเสนอ
- การแสดงผลเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่าง ๆ
ที่จริงแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่คาดว่ามีผลต่อการจัดอันดับอีกมากมายค่ะ เขียนยังไงก็ไม่มีวันหมด และไม่รู้ว่าถูกต้องตาม Google หรือไม่ อันนี้เลยเป็นแค่แนวทางที่เหล่านักทำ SEO คาดการณ์กันไว้นะคะ
โปรแกรม Search Engine มีอะไรบ้าง ที่คนทั่วโลกนิยมใช้
ตัวอย่างโปรแกรม Search Engine ที่ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานทั่วโลก มีดังนี้ค่ะ
- Yahoo
- Bing
- DuckDuckGo
- Baidu
- Yandex
- Ecosia
- SearchGPT
- Perplexity
- Ask.com AI
- Ecosia
Search Engine เกี่ยวข้องกับ Online Marketing อย่างไร ?
เราจะเรียกการทำการตลาดผ่าน Search Engine ว่า “SEM (Search Engine Marketing)” ค่ะ ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการทำ SEO และ PPC (Pay Per Click) หรือที่เรียกกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่า “Ads”
การทำ Search Engine Marketing จะเน้นไปที่การทำการตลาดผ่านเว็บไซต์เป็นหลัก และไม่ควรนำ Facebook Page มาทำ SEM ค่ะ มันไม่เหมาะ !
การทำ SEM จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงธุรกิจของเราได้ง่ายขึ้น ผ่านการค้นหาข้อมูลบน Search Engine ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบราคา หรือมองหาร้านสำหรับซื้อ – ใช้บริการ
ลองจินตนาการง่าย ๆ ก็ได้ค่ะ สมมติว่าเราธุรกิจเกี่ยวกับการสอนทำเบียร์
หากสามารถทำ SEO ให้คีย์เวิร์ดคำว่า “เรียนทำเบียร์” ติดหน้าแรก Google ได้ จะเพิ่มโอกาสในการได้นักเรียน มาเรียนทำเบียร์เพิ่มได้ขนาดไหน ? นี่เป็นตัวอย่างแค่คีย์เวิร์ดเดียวนะคะ อย่าลืมว่ายังมีคีย์เวิร์ดอื่น ๆ อีก เช่น สอนทำเบียร์, เรียนต้มเบียร์, คอร์สสอนทำเบียร์ ฯลฯ
ยิ่งทำควบคู่ไปกับการยิง Ads ก็ยิ่งทำให้กลุ่มคนที่สนใจอยากเรียนทำคราฟท์เบียร์ เห็นเว็บไซต์ของเรามากขึ้นตามไปด้วยค่ะ แค่นี้ก็เพิ่มโอกาสทางการขายได้แล้ว หากมีระบบหลังบ้านเจ๋ง ๆ แอดมินเก่ง ๆ ลูกค้าจะหลุดไปไหนได้ล่ะคะ ?
ประโยชน์ของ Search Engine ที่มีความสำคัญกับธุรกิจ
ประโยชน์ของ Search Engine มีอะไรบ้าง ? เราขอสรุปข้อดีของการทำ SEO และ PPC (Ads) บน Search Engine ดังนี้ค่ะ
ประโยชน์ของการทำ Ads บน Search Engine
- ช่วยให้ทราบว่าคีย์เวิร์ดไหน ทำเงินให้ธุรกิจมากที่สุด
- สามารถนำคีย์เวิร์ดที่สร้าง Conversion ไปทำ SEO ต่อได้ เพื่อลดต้นทุนการยิง Ads
- เว็บไซต์ติดหน้าแรกทันที ไม่ต้องใช้เวลาแบบการทำ SEO
- เพิ่มการเข้าชม หรือ Traffic ให้กับเว็บไซต์
- สามารถโปรโมทสินค้า – บริการ รวมถึงโปรโมชันต่าง ๆ ได้เลยทันที
- สร้าง Awareness ให้กับเว็บไซต์ เพราะ User อาจจำได้ แม้จะไม่ได้กดคลิก
ประโยชน์ของการทำ SEO บน Search Engine
- เพิ่มโอกาสการมองเห็นแบบ Organic เมื่อเว็บติดหน้าแรก Google
- ไม่ต้องเสียค่า Ads ทุกการคลิก
- หากทำเว็บไซต์ติดหน้าแรก Google จะช่วยลดต้นทุนการลง Ads
- มีส่วนช่วยลดค่า Ads ต่อคลิกถูกลง
- User ที่เข้าในเว็บไซต์ ตรงกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ
- เพิ่มโอกาสทางการขาย ให้คนค้นหาธุรกิจเราเจอได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันในหน้าแรก Search Engine
สรุปความหมาย Search Engine โปรแกรมค้นหาข้อมูล
การใช้ Search Engine อย่าง Google ช่วยให้คนเราค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้นค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของ เปรียบเทียบ ค้นหาความรู้ต่าง ๆ การทำการตลาดผ่าน Search Engine ทั้ง SEO และ PPC จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำ SEM ให้กับธุรกิจของผู้ประกอบการได้ค่ะ
ที่แน่ ๆ การทำการตลาดสำหรับธุรกิจ B2B และ B2C (บางตัว) ผ่าน Search Engine เราอยากให้มองว่าเป็นทางรอด ไม่ใช่ทางเลือกค่ะ ยิ่งทำก่อน ก็ยิ่งมีโอกาสที่ (ว่าที่) ลูกค้า จะค้นพบการมีอยู่ของเรามากขึ้น ต่อให้สินค้า-บริการดีแค่ไหน แต่คนไม่รู้จัก ไม่เห็น ไม่รับรู้ว่ามีคุณอยู่ แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรจริงมั้ยล่ะคะ ?